Thursday, February 18, 2016

ช่างทองของไทย




        ในอดีต การสวมใส่เครื่องประดับต่าง ๆ มีเพียงพระมหากษัตริย์และขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่สามารถสวมใส่ได้เท่านั้น ตามกฎมนเทียรบาลว่าด้วยกฎหมายตราสามดวงของไทย เพราะเครื่องประดับแต่ละชิ้น บ่งบอกถึงฐานะศักดิ์และลาภยศ ทำให้เครื่องประดับทองเป็นของชั้นสูง เนื่องจากตามตำนานที่สืบทอดกันมาเครื่องประดับทองเกิดจากความเชื่อในการบูชาและเคารพนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะการสวมใส่เครื่องประดับทองช่วยส่งเสริมให้มียศถาบรรดาศักดิ์ และมีพลังอำนาจบารมี แต่ถ้าไม่เคารพเครื่องประดับหรือสวมใส่อย่างไม่เหมาะสม อาจส่งผลให้เสื่อมลาภยศอำนาจได้ จึงเห็นได้ว่าในอดีตชาวบ้านไม่มีโอกาสสวมใส่เครื่องประดับดังกล่าวเลย กระทั่งวันเวลาผ่านไปการปกครองเปิดกว้างมากขึ้น ผู้คนสามารถซื้อหาเครื่องประดับทองมาสวมใส่ได้
        ช่างทองหลวงประจำสำนักพระราชวัง กล่าวต่อว่า ฝีมือของช่างทองไทยเป็นการสืบทอดมาจากต้นตระกูลสู่ลูกหลานไม่สามารถเอาไปให้ใครได้ เนื่องจากมีการสาปแช่งไว้ จึงไม่มีเครื่องทองที่ไหนในโลกทำได้สวย ประณีต ละเอียด เท่าประเทศไทย ปัจจุบันข้าราชการตำแหน่งช่างทองหลวงในประเทศไทยมีอยู่เพียง 20 คนเท่านั้น แต่ยังมีช่างทำทองที่อยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ ซึ่งมีทั้งหมด 6 สกุล ได้แก่
ช่างทองศรีสัชนาลัย (จ.สุโขทัย)
ช่างทองเพชรบุรี
ช่างทองอยุธยา
ช่างทองถมนคร (จ.นครศรีธรรมราช)
ช่างทองล้านนา (จ.เชียงใหม่)
และช่างทองสุรินทร์


         โดยที่ ช่างทองหลวง ถือว่าเป็นแหล่งรวบรวมเอกลักษณ์ของช่างทองทั้ง 6 สกุลไว้ แต่โดดเด่นด้วยความประณีตละเอียดอ่อนกว่าช่างทองทุกสกุล ทั้งนี้ช่างทองแต่ละสกุลก็มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเป็นแบบฉบับของตัวเอง อาทิ การขึ้นโครงขดลวดทองของช่างเพชรบุรี งานเก็บรายละเอียดของช่างทองอยุธยา การลงยาแบบฉบับศรีสัชนาลัย การถมยาถมเงินเอกลักษณ์ภาคใต้ของช่างทองถมนคร
การสลักดุนฝีมือช่างทองล้านนา และความงดงามแบบศิลปะขอมงานของช่างทองสุรินทร์
แต่ในปัจจุบันช่างทำทอง สืบทอดศิลปะไทยเหลือน้อยลง จึงจำเป็นต้องให้มีการสานต่องานหัตถศิลป์นี้อย่างเร่งด่วน
        ส่วนสาเหตุที่ทำให้งานเครื่องประดับทองได้รับความสนใจทั้งจากช่างและผู้คนน้อยลง อ.นิพนธ์ บอกว่า เป็นเพราะการทำเครื่องประดับทองเป็นงานที่ต้องทำด้วยใจรัก และมีความสุขกับการได้รังสรรค์ชิ้นงานที่ละเอียดอ่อนจริงๆ เป็นงานฝีมือที่มีคอสท์ค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งช่างน้อยคนจะมีใจรักในการทำเครื่องประดับทอง ขณะที่ผู้ซื้อก็เห็นว่าเป็นงานที่ราคาสูง และยังมองว่าดูเชยโบราณ จึงทำให้งานศิลปะด้านนี้ค่อยๆ เสื่อมถอยไปเรื่อยๆ

ที่มา : http://swhappinessss.blogspot.com/2011/09/blog-post_12.html





No comments: